กลับมาพบกับพี่โบ้อีกแล้วนะครับ บทความวันนี้ ผมจะขอนำเสนอประเด็นที่ประเทศของเราเคยเป็นกระแสข่าวกันอยู่พักใหญ่ คือ เรื่องของการปรับ ยกเลิกดอกเบี้ยคงที่ ในการกู้ซื้อบ้านนั่นเอง หากท่านใดที่ต้องการอ่านข่าวเพิ่มเติม สามารถกดเข้าไปที่ลิงก์ได้เลยนะครับ ซึ่งจากข่าวดังกล่าว ทำให้ผมอยากหยิบยกมาเขียนบทความ การเลือกอัตราดอกเบี้ย ที่ใช้ได้ผล 100% ก่อนที่จะตัดสินใจกู้เงินกับธนาคาร มาให้ทุกท่านได้นำไปปรับใช้กันครับ
ส่วนตัวแล้ว การเลือกอัตราดอกเบี้ย กับธนาคารแต่ละครั้งนั้น ผมมองว่า มันคือการลงทุนระยะยาวรูปแบบหนึ่ง เราจึงไม่สามารถมองข้ามเทคนิคที่ผมกำลังจะนำเสนอต่อไปนี้ได้ครับ ไม่อย่างนั้น ถ้าคุณตัดสินใจเลือกอัตราดอกเบี้ยผิดตั้งแต่ต้น ภาระการจ่ายดอกเบี้ยครั้งใหญ่ก็จะติดตัวคุณไปอีกนาน ถ้าคุณพร้อมจะรู้เทคนิคนี้แล้ว มาเริ่มอ่านไปพร้อม ๆ กันเลยครับ
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคาร คือ ?
ก่อนอื่นเลย เผื่อมีบางท่านที่ยังไม่เข้าใจ ผมขอพามาทำความเข้าใจกับความหมายของ “อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคาร” ก่อน
คำว่า ดอกเบี้ย ก็คือ จำนวนเงินจำนวนหนึ่งของบุคคล หรือบริษัทที่ใช้จ่ายให้อีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อขอรับสิทธิ์ในการกู้ยืมเงิน โดยการทำสัญญากู้ยืมเงินจะมีการคิดคำนวณดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ซึ่งการคำนวณดอกเบี้ยสามารถทำได้หลายวิธี จึงทำให้ผู้ปล่อยกู้สามารถทำกำไรได้จากการเก็บดอกเบี้ยนั่นเองครับ
จากความหมายที่ผมได้กล่าวไปข้างต้น มันอาจจะเป็นภาษาทางการสักหน่อยนะครับ เพื่อเป็นการไม่ให้ความหมายผิดเพี้ยน ซึ่งการกู้เงินนั้นสามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลกู้เงินกันเอง หรือบริษัทกู้เงินกับธนาคาร ไปจนถึงรัฐบาลกู้เงินกับธนาคารโลก (ปัจจุบัน รัฐบาลเป็นหนึ้กับธนาคารโลกกว่า 791.50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
และนี่ถือเป็นตัวอย่างของการกู้เงิน เพื่อให้คุณได้เห็นภาพมากขึ้น กลับมาในส่วนที่เราจะโฟกัสกันครับ คือ การที่บุคคลหนึ่งกู้เงินกับธนาคาร เพื่อนำเงินก้อนนั้นไปใช้ในการซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือทำธุรกิจต่าง ๆ บุคคลนั้นจะต้องได้รับภาระหนี้ และต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ปล่อยกู้ โดยการเก็บดอกเบี้ยอาจคิดเป็นรายเดือน หรือรายปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไงของสัญญาเงินกู้
ตัวอย่าง การคำนวณอัตราดอกเบี้ยทั้งหมด
ผมขอยกตัวอย่างการจ่ายดอกเบี้ยเพื่อให้คุณเข้าใจง่าย ๆ ดังนี้
นายโชคช่วยทำสัญญากู้เงินกับธนาคาร เพื่อจะนำเงินก้อนไปซื้อรถยนต์ จำนวน 1,500,000 บาท โดยมีอัตราดอกเบี้ย 8% ต่อปี และมีสัญญาเงินกู้ 5 ปี ซึ่งนายโชคช่วยจะต้องผ่อนจ่ายชำระกับธนาคารทั้งหมด 60 งวด
จำนวนดอกเบี้ยทั้งหมดที่นายโชคช่วยจะต้องจ่ายให้กับธนาคาร สามารถคำนวณได้ตามสูตรด้านล่างนี้
ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมด = จำนวนเงินที่ขอกู้ x อัตราดอกเบี้ย x จำนวนปี
ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมด = 1,500,000 x 8% x 5 ปี
ดอกเบี้ยที่นายโชคช่วยจะต้องจ่ายทั้งหมด = 600,000 บาท
จากการคำนวณข้างต้น เราก็สามารถนำไปปรับใช้ในการขอกู้เงินกับธนาคารได้แล้วครับ หรือหากต้องการทราบถึงจำนวนเงินที่นายโชคช่วยต้องจ่ายในแต่ละงวด ก็สามารถคำนวณได้ตามสูตรด้านล่างนี้ครับ
ตัวอย่าง การคำนวณค่างวดต่อเดือน
ตัวอย่างนี้ ผมขอเพิ่มเติมให้สำหรับคนที่ต้องการทราบถึงค่างวดต่อเดือน ที่นายโชคช่วยต้องจ่ายให้กับธนาคารนะครับ
ค่างวดต่อเดือน = (จำนวนเงินที่ขอกู้ + ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมด) + Vat 7% / จำนวนงวด
ค่างวดต่อเดือน = (1,500,000 + 600,000) + 147,000 / 60 งวด
ค่างวดต่อเดือนที่นายโชคชัยต้องจ่ายให้กับธนาคาร = 37,450 บาท
จากตัวอย่างการกู้เงินของนายโชคช่วยข้างต้น ทุกท่านคงจะเห็นการภาพกันแล้วใช่ไหมครับ จากทฤษฎีดังกล่าว เราก็ได้เข้าใจความหมายของ “อัตราดอกเบี้ย” กันแล้ว และสูตรที่ผมได้นำมาคำนวณให้ทุกท่านดู เป็นเพียงการเลือกอัตราดอกเบี้ย ในรูปแบบคงที่เท่านั้นนะครับ หากท่านต้องการสูตรคำนวณแบบอื่นที่ลงลึกกว่านี้ สามารถคลิกเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ครับ
ต่อมา เรามาทำความใจในประเด็น การเลือกอัตราดอกเบี้ย ก่อนตัดสินใจกู้เงินกับธนาคารที่ทุกท่านรอคอย ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านต่อกันเลยครับ
เทคนิคการเลือกอัตราดอกเบี้ย ก่อนตัดสินใจกู้เงินกับธนาคาร
หากคุณกำลังตัดสินใจจะกู้เงินกับธนาคารเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ ก็ตาม ต้องจำไว้ว่า การกู้เงินแต่ละครั้ง ธนาคารต้องพิจารณาอนุมัติเงินกู้จากหลาย ๆ ปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นใบรับรองรายได้ อาชีพหน้าที่การงาน รวมถึงมูลค่าสินทรัพย์ที่คุณครอบครอง และสุดท้ายธนาคารก็นำข้อเสนอสินเชื่อรูปแบบต่าง ๆ มากมายมาให้คุณได้ตัดสินใจ จึงทำให้มือใหม่ที่เพิ่งเคยกู้เกิดความสับสนได้
ผมจึงได้นำ 2 เทคนิคต่อไปนี้ มาเป็นตัวช่วยให้คุณได้ตัดสินใจก่อนกู้ธนาคารได้ง่ายขึ้น โดยขั้นตอนแรกผมจะเริ่มจากการแบ่งความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย
รูปแบบอัตราดอกเบี้ย
สำหรับความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
1) อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Rate)
คือ อัตราดอกเบี้ยที่ถูกธนาคารกำหนดไว้ในสัญญาเงินกู้อยู่แล้ว โดยอัตราดอกเบี้ยคงที่จะไม่ขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ดอกเบี้ย “คงที่” ตลอดอายุสัญญาที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ตอนแรก
2) อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate)
คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารไม่ได้กำหนดไว้เฉพาะเจาะลง โดยอัตราดอกเบี้ยลอยตัวนี้จะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้น ๆ ทำให้การกู้เงินในรูปแบบดอกเบี้ย “ลอยตัว” แพงขึ้น หรือถูกลงอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่วันที่ทำสัญญากับธนาคาร
จาก 2 รูปแบบข้างต้นที่ผมได้กล่าวมา คุณคงเกิดคำถามแล้วใช่ไหมครับว่า “แล้วเราควรเลือกกู้เงินรูปแบบไหน ถึงจะดีที่สุด?”
เทคนิคการเลือกอัตราดอกเบี้ย
สำหรับคำตอบข้อนี้ ผมจะขอตอบโดยใช้แนวคิดในมุมของนักลงทุนที่มองภาพหลักการเศรษฐศาสตร์ง่าย ๆ เพื่อให้คุ้มค่าแก่การตัดสินใจกู้เงิน ด้วยการแบ่งภาวะเศรษฐกิจออกเป็น 2 ช่วง ดังนี้ครับ
1) ช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น (Bull Economy)
การเลือกอัตราดอกเบี้ยในช่วงเศรษฐกิจเป็นขาขึ้น ต้องเลือก “อัตราดอกเบี้ยคงที่” เพราะว่า อัตราดอกเบี้ยของธนาคาร จะปรับขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น การเลือกกู้เงินโดยใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ จะช่วยป้องกันไม่ให้ดอกเบี้ยเงินกู้ เพิ่มขึ้นสูงตามภาวะเศรษฐกิจครับ
2) ช่วงเศรษฐกิจขาลง (Bear Economy)
การเลือกอัตราดอกเบี้ยในช่วงเศรษฐกิจเป็นขาลง ต้องเลือก “อัตราดอกเบี้ยลอยตัว” เพราะว่า ภาวะเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงซบเซา และธนาคารจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลงตามไปด้วย เมื่อเรากู้เงินโดยการเลือกอัตราดอกเบี้ยลอยตัว จะทำให้เราจ่ายดอกเบี้ยธนาคารถูกลงตามไปด้วยครับ
สุดท้ายนี้ การเลือกอัตราดอกเบี้ยก่อนการกู้เงินกับธนาคารนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน ซึ่งมีต้นทุนที่ต้องจ่าย คือ “ดอกเบี้ย” บวกกับขั้นตอนที่ค่อนข้างทำความเข้าใจได้ยากสำหรับผู้กู้มือใหม่ แต่เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผมก็หวังว่า คุณจะสามารถนำเอา 2 เทคนิคนี้ ไปใช้ในการตัดสินใจ เพื่อประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจแต่ละช่วง ซึ่งจะช่วยลดภาระการจ่ายอัตราดอกเบี้ยของเราลงได้
หากคุณเป็นคนที่มีความสนใจเรื่องการลงทุนเหมือนกันกับผม ผมได้เขียนบทความสาระดี ๆ ไว้อีกมากมายใน หมวดสาระน่ารู้ คุณสามารถเข้าไปอ่านเพื่อพัฒนา Skills ได้แบบฟรี ๆ
แล้วพบกันใหม่บทความถัดไป สวัสดีครับ
Source: Traderbobo